ทัวร์จอร์แดน Luxury JORDAN Kingdom Of Time 7 Days
ทัวร์
ตะวันออกกลาง
ระยะเวลา
7 วัน
สายการบิน
วันเดินทาง
12-18 มีนาคม / 30 เมษายน - 6 พฤษภาคม 66
Hilight

ทัวร์จอร์แดน เที่ยวครบรส ควบธรรมชาติบำบัด สายเที่ยวชิลๆ แบบค่อยๆซึมลึก ทริปสบายที่สุด หนึ่งเดียวในตะวันออกกลาง ณ จอร์แดน ทริปพิเศษ เส้นทาง อัมมาน - มาดาบา - เม้าท์ เนโบ - เพตรา - วาดิรัม - อควาบา - เดดซี - อัมมาน - เจอราช กับทฤษฎีว่า...ปราการแห่งขุนเขา ทะเลทราย โคลนหนึ่งในสามแหล่งที่ดีที่สุดในโลก เดดซี ทะเลแดง ฟ้าห่มดาวนับล้านๆดวง และการย้อนเวลาสู่อดีตกาล ณ นครเพตรา นั้นจะทำให้ทุกท่าน ต๊าซ!!! สดชื่น ทุกวัน ท่องเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ คือหัวใจของทริปนี้ 
จอร์แดน...กลิ่นอายอารยธรรมโบราณเหนือกาลเวลาเป็นดั่งสมุดบันทึกประวัติศาสตร์ของโลกชิ้นเอกที่ทรงคุณค่า รื่นรมย์กับปราสาททรายมากมายตั้งอยู่ดาษดื่น ทำให้นึกถึงกองคาราวานเดินทางไกลโพ้น ตามรอยของท่านโมเสส ผู้แหวกทะเลแดงบนดินแดนแห่งศรัทธาและสันติ ลัดเลาะเมืองเก่าของชาวนาบาเทียน ณ มรดกโลกนครเพตรา...ศิลาทรายสีชมพู สนุกดื่มด่ำความสุขรอบกองไฟคละเคล้าหมู่ดาวยามค่ำคืนท่ามกลางทะเลทรายสีชมพูแห่งวาดิรัม หรือหุบเขาพระจันทร์ เก็บเกี่ยวประสบการณ์สปาโคลนและการลอย ตัวในทะเลเดดซีซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 430.50 เมตร และคุณสมบัติที่ล้ำค่าของทะเลเดดซีที่สามารถรักษาโรคได้ ทำให้พระนางคลีโอพัตราและพระเจ้าเฮโรด มหาราชเคยมาที่นี่เช่นกัน จึงเป็นเสมือนสถานบำบัดรักษาสุขภาพแห่งแรกของโลก
ทัวร์เที่ยวกับทอย โดยโกลบอล ฮอลิเดย์ เชิญเหล่านักเดินทางมา ร่วมผจญภัย และสนุกตื่นตาตื่นใจไปกับความมหัศจรรย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่นี่...ทัวร์จอร์แดน
พิเศษ.....พักมาร์เทียนโดมที่พักล้านดาว ล่องเรือชมทะเลแดง รื่นรมย์ชมกลุ่มหมู่ปราสาททราย พักสบายกับโรงแรมห้าดาวทุกเมือง อิ่มอร่อยกับอาหาร สุขสำราญกับเส้นทาง หลากอารมณ์ ความรู้สึก และบรรยากาศที่ไม่เหมือนใคร แล้วคุณจะหลงรัก จอร์แดน ตลอดกาล

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    กรุงเทพฯ
    • 21.00 น. พร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ณ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 8 เคาน์เตอร์ Q โดยสายการบิน ROYAL JORDANIAN โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯรอให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน
  • Day 2
    กรุงเทพฯ - อัมมาน - มาดาบา - เพตรา
    • 00.20 น. เหินฟ้าสู่ เมืองอัมมาน ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน โดย สายการบิน ROYAL JORDANIAN เที่ยวบินที่ RJ183 (ใช้เวลาบิน 9 ชั่วโมง 30 นาที) (บริการอาหารบนเครื่องบิน)
      05.50 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติ ควีน อาเลีย (Queen Alia Int’l Airport) เมืองอัมมาน หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว นำท่านเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยังร้านอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้า 
      (โปรดปรับนาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น ช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง เพื่อสะดวกในการดูเวลานัดหมาย)
      เช้า ออกเดินทางมุ่งหน้าไปสู่ มาดาบา (Madaba) ซึ่งตั้งอยู่ห่าง ออกไปจากอัมมานราว 35 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 45 นาที เมื่อเดินทางถึง มาดาบา หรือ เมืองแห่งโมเสก นำท่านชมโบสถ์กรีก-ออโธดอกซ์แห่งเซนต์จอร์จ ถูกสร้างในราวปี ค.ศ.600 ยุคของไบแซนไทน์ และพาชม ภาพแผนที่ดิน แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเยรูซาเลม ที่ถูกตกแต่งด้วยโมเสกสีต่างๆ ประมาณ 2.3 ล้านชิ้นที่แสดงถึงพื้นที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในแถบรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เยรูซาเลม แม่น้ำจอร์แดน ทะเลเดดซี เขาซีนาย อียิปต์ ฯลฯ 
      แล้วเดินทางต่อเพื่อชม เม้าท์ เนโบ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่บนเขาซึ่งเชื่อกันว่าน่าจะเป็นบริเวณที่เสียชีวิตและฝังศพของโมเสส ผู้นำชาวยิวเดินทางจากประเทศอิยิปต์มายังเยรูซาเล็ม
        นำท่านชม โบสถ์แห่งเม้าท์ เนโบ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในราวปี ค.ศ. 300-400 ในช่วงยุคไบแซนไทน์ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงโมเสส ภายในโบสถ์ประกอบไปด้วยภาพโมเสกสีบนพื้นโบสถ์อันล้ำค่า แสดงถึงภาพชีวิตสัมพันธ์ระหว่างคน สัตว์และ ธรรม ชาติ รูปคนฯลฯ และยังมีแท่นพิธี ม้านั่ง ตามรูปแบบของศาสนา คริสต์ไว้ประกอบพิธีต่างๆ และอนุญาตให้ใช้ในปัจจุบัน รูปภาพและรายละเอียดต่างๆ แสดงถึงการบูรณะโบสถ์ บ่อศีลจุ่ม ฯลฯ ในปีค.ศ.2000  โป๊ปจอห์น ปอลที่ 2 เสด็จมาแสวงบุญที่นี่และได้ประกาศให้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์  
      นำชม อนุสรณ์ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์แห่งโมเสส ซึ่งออกแบบเป็นลักษณะไม้เท้าในรูปแบบไม้กางเขน โดยอุทิศเป็นสัญลักษณ์ของโมเสสและพระเยซู เชิญถ่ายรูป ณ จุดชมวิว โดยในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ท่านสามารถมองเห็นแม่น้ำจอร์แดน ทะเลเดดซี เมืองเบธเลเฮม และประเทศอิสราเอลได้จากจุดนี้อย่างชัดเจน     
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      (ระยะทางจากเมืองมาดาบาถึงเพตรา ราว 220 กิโลเมตร // ราว 3 ชั่วโมง)
      นำท่านชม บ่อน้ำโมเสส เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งใน Wadi Musa และเป็นหนึ่งในสองสถานที่ที่เป็นไปได้ในจอร์แดนที่คาดว่าท่านโมเสสจะกระแทกก้อนหินด้วยไม้เท้าของเขาและน้ำพุ่งออกมาให้ชาวอิสราเอลกระหายน้ำ ปัจจุบันบ่อน้ำพุแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในอาคารทรงโดมสามมิติที่เรียบง่ายทันสมัย ผู้แสวงบุญในท้องถิ่น และชาวบ้านจะมาที่นี่เพื่อนำน้ำไปใช้ดื่มกัน น้ำพุแห่งนี้มีมาตั้งแต่โบราณกาล
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารในโรงแรม 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก The Old Village Resort 5*, Petra หรือเทียบเท่า
  • Day 3
    เพตรา - ทะเลทรายวาดิรัม
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      นำท่านชม เมืองเพตรา (Petra) หรือ นครศิลาทรายสีชมพู ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ในปีค.ศ.1985 และ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของแห่งโลกใหม่จากการตัดสินโดยการโหวตจากผู้คนนับล้านทั่วโลกในวันมหัศจรรย์ เมื่อวันที่ 07/07/07  มหานครสีดอกกุหลาบที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาแห่งโมเสส (Wadi Musa) มีประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันปีเคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยทั้งชาวอีโดไมท์จวบจนกระทั่งถึงยุครุ่งเรืองเฟื่องฟูในการเข้ามาครอบครองดินแดนของชาวอาหรับ เผ่าเร่ร่อนนาบาเทียน ในช่วงระหว่าง 100 ปีก่อนคริสตกาล - ปี ค.ศ.100 และได้เข้ามาสร้างอาณาจักรบ้านเมืองฯลฯ จนกระทั่งในปีค.ศ.106 นครศิลาทรายสีชมพูนี้ก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมันที่นำโดยกษัตริย์ทราจัน นครเพตราต้องถึงคราวล่มสลาย เมื่อหมดยุคของอาณาจักรโรมันทำให้ชาวเมือง นั้นละทิ้งบ้านเมืองจากกันไปหมด ทิ้งให้เมืองแห่งนี้รกร้างไปพร้อมกับการพังทลายของเมืองหลังจากเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งจนสูญหายนับพันปีจนถึงในปีค.ศ.1812 นักสำรวจเส้นทางชาวสวิส นายโจฮันน์ ลุดวิก เบิร์กฮาดท์ ได้ค้นพบนครศิลาแห่ง นี้และนำไปเขียนในหนังสือชื่อ “TRAVEL IN SYRIA” จนทำให้เริ่มเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน 
        จากนั้นเดินเท้าเข้าสู่เส้นทางมหัศจรรย์กว่า 1.5 กิโลเมตรที่เกิด จากการแยกตัวของเปลือกโลกและการซัดเซาะของน้ำเมื่อช่วงหลายล้านปีก่อน เดินชมความสวยงามของผาหินสีชมพูสูงชันทั้ง 2 ข้างคล้ายกับแคนยอนน้อยๆ และสิ่งก่อสร้าง รูปปั้นแกะสลักต่างๆ เช่น รูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ  รูปกองคาราวานอูฐ  รูปชาวนาบาเทียน ท่อส่งลำเลียงน้ำเข้าสู่เมือง ฯลฯ สุดปลายทางของช่องเขา ท่านจะพบกับความงดงามของมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์เอล-คาซเนท์ (El-Khazneh) หรือที่เรียกว่า Treasury
      สันนิษฐานว่าจะสร้างในราวคริสต์ศตวรรษที่ 1-2 โดยผู้ปกครอง เมืองในเวลานั้น เป็นวิหารที่แกะสลักโดยเจาะเข้าไปในภูเขาสีชมพูทั้งลูก มีความสูง 40 เมตร และกว้าง 28 เมตร วิหารแห่งนี้ถูกออกแบบโดยได้รับอิทธิพลศิลปะของหลายชาติเข้าด้วยกัน เช่น อิยิปต์ กรีก นาบาเทียน ฯลฯ ภายในประกอบด้วย 3 ห้อง คือ ห้องโถงใหญ่ตรงกลาง และห้องเล็กทางด้านซ้ายและขวาเดิมทีถูกเชื่อว่าเป็นที่เก็บขุมทรัพย์สมบัติของฟาโรห์อียิปต์ แต่ในเวลาต่อมาภายหลังได้มีการขุดพบทางเข้าหลุมฝังศพที่หน้าวิหารแห่งนี้ทำให้นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีได้ลงความเห็นตรงกันว่า น่าจะถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับผู้ ปกครองเมือง ใช้เป็นสถานที่ทำพิธีกรรมทางศาสนาและใช้เป็นสุสานฝังศพของผู้ปกครองเมืองและเครือญาติ  
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน                   
      บ่าย อิสระในการเดินชมและถ่ายรูปภายในเมืองเพตรา เดินชมภูผา ต่างๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อและพิธีกรรมของชาวนาบาเทียนกับชีวิตหลังความตาย และการปฎิบัติต่อผู้ปกครองหรือกษัตริย์ของพวกเขา ชมโรงละครโรมัน (Roman Theatre) ที่ แกะสลักจากภูเขาโดยมีแนวราบที่นั่งเท่ากันและมีความสมดุลได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งสันนิษฐานว่าเดิมทีสร้างโดยชาวนาบาเทียน ต่อมาในสมัยที่โรมันเข้ามาปกครองได้ต่อเติมและสร้างเพิ่มเติมมีที่นั่ง 32 แถว จุผู้ชมได้ประมาณ 3,000 คน
      ใช้เวลาเดินทางราว 1.5 ชั่วโมง เดินทางสู่ ทะเลทรายวาดิรัม (WadiRum) เรียกว่าเป็น หุบเขาแห่งดวงจันทร์ เป็นหุบเขาที่กำเนิดขึ้นจากหินทรายและหินแกรนิต ฉากทะเลทรายของวาดิ รัม เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง Lawrence of Arabia ปีค.ศ.1962 เป็นจุดเริ่มต้นยุคเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมการท่อง เที่ยวของจอร์แดน Wadi Rum กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของจอร์แดน ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากทั่วโลก
      นำท่านเช็คอินเข้าสู่ที่พัก เพื่อพักผ่อนและเปลี่ยนอิริยาบถ 
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ในแค้มป์กลางทะเลทราย 
      เข้าสู่แค้มป์ที่พัก Mazayen Luxury Camp, WadiRum หรือเทียบเท่า  (ค่ำคืนนี้ อย่าลืมพบกับความสุข...นอนนับดาวกลางทะเลทรายกับการพักในรูปแบบ The Martian Tents) 
  • Day 4
    วาดิรัม - อควาบา - เดดซี
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าที่แคมป์
      เช้านี้นำท่านนั่งรถ ตะลุยพาสำรวจและสัมผัสกับทะเลทรายวาดิรัม ที่รู้จักกันในชื่อ Valley of the Moon ซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Lawrence of Arabia โดยนั่งรถกระบะเปิดหลังคาแบบขับเคลื่อนสี่ล้อบุกเคลื่อนเข้าสู่ทะเลทรายเพื่อท่องเที่ยวไปตามสันทรายสีชมพูที่สวยงามและบันเทิงไปกับความงดงามแปลกตาของธรรมชาติที่จัดสรรไว้เบื้องหน้าอย่างไม่อยากละสายตา พร้อมสนุกสนานตื่นเต้นกับการผจญภัยบนพื้นทะเลทราย แล่นท่องทะเลทรายไปชมภาพเขียนแกะสลัก ของชาวนาบาเทียนที่แสดงถึงเรื่องราวต่างๆในชีวิตประจำวันและรูปภาพสัตว์ต่างๆ ผ่านชมเต้นท์ชาวเบดูอินที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย เลี้ยงแพะเป็นอาชีพ ฯลฯ (กิจกรรมนี้ใช้เวลาในการทำทัวร์ประมาณ 2 ชั่วโมง)
      ออกเดินทางสู่ เมืองอควาบา เมืองท่าและเมืองพักตากอากาศ สำคัญ เป็นเมืองปลอดภาษีเพียงแห่งเดียวในประเทศจอร์แดนมีประชากรอาศัยราว 70,000 คน เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ
      (ระยะทางจากวาดิรัมถึงเมืองอควาบา ราว 75 กิโลเมตร // ราว1 ชั่วโมง 20 นาที)
      นำท่านลงเรือ ล่องเรือในทะเลแดง (Red Sea) ทะเลแดงที่มีน่านน้ำครอบคลุมถึง 4 ประเทศ คือจอร์แดน อิสราเอล อียิปต์ และซาอุดิอาระเบีย ชมบรรยากาศของท้องทะเลโดยรอบและความใสของน้ำทะเล ในแง่ประวัติศาสตร์ ทะเลแดงได้ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่าทะเลแห่งนี้เป็นสถานที่โมเสสได้แสดงอัศจรรย์โดยการชูไม้เท้าแหวกทะเลแดงใช้เป็นทางเดินพาชาวอิสราเอลหนีให้รอดพ้นจากการตามล่าของทหารอียิปต์เพื่อจับไปเป็นทาสอียิปต์และจุดมุ่งหมายเพื่อเดินทางไปสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญาที่พระเป็นเจ้าทรงมอบให้กับชาวอิสราเอล คือ กรุงเยรูซาเลมในปัจจุบัน 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      (ระยะทางจากอควาบาถึงเดดซี ราว 275 กิโลเมตร // ราว 3 ชั่วโมง 30 นาที) 
      เดินทางสู่ ทะเลสาบเดดซี (Dead Sea) หรือทะเลมรณะ ตั้งอยู่ตรงบริเวณเขตแดนประเทศจอร์แดนและอิสราเอล เป็นทะเลไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เพราะเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีความเข้มข้นของเกลือสูงมากกว่าน้ำทะเลธรรมดาถึง 10 เท่าและอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเกือบ 400 เมตร ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในโลก ทะเลเดดซีอยู่ในเขตทะเลทราย น้ำเค็ม ฝนตกน้อยและไม่สม่ำเสมอ ปีหนึ่งราว 65 มิลลิเมตร อีกทั้งทะเลสาบไม่มีทาง ออกสู่ทะเลแห่งอื่นเลย มีเพียงแม่น้ำจอร์แดนที่ไหลลงสู่ทะเลเดดซีเท่านั้น เชิญท่านทดสอบกับความอัศจรรย์ทางธรรมชาติที่มนุษย์สามารถลอยตัวในน้ำทะเลได้โดยไม่จม แถมสูดอากาศบริสุทธิ์เพราะมีออกซิเจนมากกว่าปกติถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ท่านจะสนุกสนานเพลิดเพลินกับการลงเล่นน้ำในทะเล หรือเลือกซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อต่างๆที่ผลิตจากทะเลเดดซีตามอัธยาศัย
      ค่ำ     รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Crown Plaza Hotel 5*, Dead Sea หรือเทียบเท่า
      *** โรงแรมที่เลือกใช้นั้น มีชายหาดส่วนตัว สามารถเดินลงหาดได้เลย ***
  • Day 5
    เดดซี - อัมมาน
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      อิสระพักผ่อนที่ชายหาด ด้วยการลงแช่น้ำในทะเลเดดซีที่อุดม ไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ เป็นการ Detox ร่างกายระดับ World Class ด้วยคุณภาพของน้ำทะเลและโคลนที่นี่ ซึ่งติดหนึ่งในสามของ โลกที่มีคุณภาพสูงสุด (1.โคลนจาก Dead Sea  2.โคลนภูเขาไฟจาก Romania 3.ภูโคลน แม่ฮ่องสอน) ทำให้สุขภาพผิวดีขึ้น แข็งแรง และอ่อนนุ่ม เพราะดูดจับและขับของเสียที่สะสมในร่างกายออกไป กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และทำให้ รู้สึกสดชื่นได้เวลาพอสมควร เดินทางสู่เมืองหลวง อัมมาน (Amman)   
      (ระยะทางจากทะเลเดดซีถึงกรุงอัมมาน ราว 50 กิโลเมตร // ราว1 ชั่วโมง)
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย นำท่านเที่ยวชมภายใน อัมมาน นครเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ มายาวนานสืบเนื่องมาตั้งแต่ยุคหินใหม่ เดิมทีเรียกว่า Rabbath Ammon คำว่า Rabbath แปลว่าเมืองหลวง จึงมีความหมายว่าเป็นเมืองหลวงของชาวอัมมันไนท์ (Ammonites) แต่เมื่อครั้งที่ถูกปกครองโดยกษัตริย์ปโตเลมีแห่งมาซิโดเนียยุคโรมัน เมืองนี้ถูกเรียกว่า ฟิลาเดเฟีย (Philadephia) ในกาลต่อมาผ่านยุคผ่านสมัยของผู้ปกครองต่างๆ ในที่สุดชื่อของเมืองนี้ถูกเรียกว่า Amman จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเมืองนี้ได้ถูกบันทึกในคัมภีร์ไบเบิ้ลของชาวฮีบรูเช่นกัน เนื่องด้วยอัมมานเป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่มาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก ในปัจจุบันอัมมานกลับเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาและมีความหลากหลายในเชิงวัฒนธรรมพร้อมมีความเป็นสากลทันสมัยอยู่แบบไม่ขาดตกบกพร่อง กรุงอัมมานมีการผสมผสานกันระหว่างความเก่าและใหม่ เป็นอีกหนึ่งเมืองแถบตะวันออกกลางที่โดดเด่นน่าสำรวจ เชิญมาค้นพบความน่าทึ่งด้วยตัวท่านเองได้จากสถานที่ท่องเที่ยวที่มีอยู่ทั่วเมือง ได้แก่
      • โรมัน ฟอรั่ม (Roman Forum) เป็นจัตุรัสสาธารณะในพื้นที่ 50×100 เมตร คาดว่าในอดีตมีการตั้งตลาดในบริเวณนี้ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับโรงละครเล็ก (Odeon) และ โรงละครอัมมาน (Roman Theatre) โดยมีแนวเสาระเบียงแบบโรมันตั้งเรียงรายขนาบข้างอยู่อย่างสวยงาม 
      • โรงละครอัมมาน (Roman Theatre) เป็นโรงละครขนาดใหญ่ 6,000 ที่นั่ง สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ.169-177 โรงละครแห่งนี้ดูใหญ่อลังการน่าทึ่งและโดดเด่นเรื่องการวางแผนด้านวิศวกรรมโยธาที่ชาญฉลาดและมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของโรมันทำการออกแบบโครงสร้างเพื่อเอื้อให้ระบบกระจายเสียงกลางแจ้งนั้นมีคุณภาพเสียงดีเยี่ยม โดยการสร้างโรงละครให้มีความลาดเอียงลึกลงไปถึงเวที ส่วนที่นั่งภายในโรงละครก็แบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามแนวนอน จุดที่อยู่สูงสุดของโรงละครเป็น ที่รู้จักในชื่อของ "The Gods" เพราะด้านหลังที่นั่งเหล่านั้นจะมีศาลขนาดเล็กตั้งอยู่ เชื่อว่าสร้างเพื่อเป็นเกียรติให้กับเทพีอาเธน่า ส่วนด้านล่างของโรงละคร ยังมีห้องจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ 2 แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้าน (Folklore Museum) ซึ่งแสดงเกี่ยวกับประเพณีวัฒนธรรมตั้งแต่ยุคเบดูอิน และพิพิธภัณฑ์ประเพณีนิยมของจอร์แดน(Museum of Popular traditions) ซึ่งจัดแสดงเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายและเครื่อง ประดับของชนเผ่าต่างๆ ในดินแดนแถบนี้ที่มีมาแต่โบราณ โรงละครโรมันได้รับการบูรณะและปัจจุบันนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่แห่งความบันเทิงและการพบปะสังสรรค์ 
      • โรงละครเล็ก (Odeon) เป็นโรงละครขนาดเล็กที่จุผู้ชม 500 ที่นั่ง สร้างขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับโรงละครอัมมาน แต่นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าน่าจะใช้เป็นโรงละครในที่ร่มมากกว่า เพราะพบว่าเคยมีโครงหลังคาทำด้วยไม้เพื่อป้อง กันปัญหาสภาพอากาศให้แก่ผู้ชม 
      • ป้อมปราการแห่งกรุงอัมมาน (Amman Citadel) สถานที่แห่งนี้เป็นกลุ่มโบราณสถานของหลายยุคสมัยที่เป็นซากปรักหักพังที่มีอายุย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยยุคหินใหม่พวกอัมมันไนท์ โรมัน ไบเซนไทน์ จนกระทั่งถึงยุคอุมัยยะฮ์ ซากปรักหักพังเหล่านี้เผยให้เห็นอิทธิพลด้านสถาปัตยกรรมที่มีมาในอดีตบนยอดเนินเขาสูงสุดในกรุงอัมมาน ณ ระดับความสูง 850 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และถือว่าเป็นจุดชมวิวเมืองที่สำคัญแห่งหนึ่ง อันได้แก่
      โบราณสถานแห่งแรกคือ วิหารเฮอร์คิวลีส (Temple of Hercules) สร้างขึ้นระหว่างช่วงปี ค.ศ.162-166 วิหารแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าวิหารที่อยู่ในโรมโบราณเสียอีก สร้างเพื่อ อุทิศแด่ฮีโร่ผู้ทรงพลัง ซึ่งในปัจจุบันโบราณสถานแห่งนี้รู้จักกันในนาม The Great Temple of Amman ใกล้กันนั้นมีมือรูปกำปั้นขนาดใหญ่ทำจากหินอ่อนสีขาวดูสีซีด ว่ากันว่าเป็นเศษที่หลงเหลือจากรูปปั้นขนาดใหญ่ของเฮอร์คิวลีสพิธภัณฑ์โบราณสถานแห่งชาติ (National Archaeological Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเก็บรักษาและจัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ รวมถึงม้วนหนังสือสมัยโบราณ (Dead Sea Scrolls) ทั้งยังมีกะโหลกศีรษะยุคสำริดที่แสดงการเจาะกะโหลกรักษาโรคในสมองในทำนองเดียวกับการรักษาโรคของศัลยแพทย์ด้านประสาทในยุคปัจจุบัน และรูปปั้น Ain Ghazal เป็นประติมากรรมในช่วง แรกสุดเท่าที่เคยได้ค้นพบมา โบสถ์คริสต์ยุคไบเซนไทน์ (Byzentine Basilica) เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5-6 โดยจักรพรรดิแห่งไบเซนไทน์ แต่ปัจจุบันคงเหลือแต่ฐานรากและแนวเสาระเบียงหัวเสาแบบคอรินเทียนเพียงบางส่วน จากจุดนี้ท่านจะสังเกตได้ว่าประตูทางเข้าของโบสถ์มักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเสมอ และยังพบงานพื้นโมเสกอันเป็นที่นิยมในยุคนั้นได้อีกด้วยพระราชวังอุมัยยะฮ์ (Umayyad Palace) เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 เป็นอาคารที่ได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดีที่สุด ถือเป็นอาคารที่มีความสวยงามและน่าประทับ ใจมากที่สุดเช่นกัน อาคารห้องโถงรูปทรงโดมขนาดใหญ่ คือ Audience hall เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาคารในพระราชวังอุมัยยะฮ์ ภายในอาคารอันหรูหราใหญ่โตนี้เป็นบ้านพักอาศัยของผู้ ปกครองเมือง เป็นการสร้างทับสิ่งก่อสร้างเดิมยุคไบเซนไทน์  เมื่อมองไปด้านเหนือ จะเห็นธงชาติจอร์แดนขนาดใหญ่โบกสะบัดแต่ไกล ชาวจอร์แดนอวดกันว่าธงนี้เป็นธงที่สูงที่สุดในโลก
      ส่วนข้างๆ พระราชวังนั้นมี Umayyad Cistern อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ใช้เก็บกักน้ำเพื่อใช้สำหรับบริเวณโดยรอบนี้  สามารถบรรจุน้ำฝนได้ประมาณ 950,000 ลิตร หากเดินลงไปตามบันไดแคบๆ ตามผนังที่เก็บน้ำลงไปยังชั้นล่างสุดแล้วจะรู้ว่าที่นี่มีความลึกแค่ไหน
      ค่ำ     รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Crown Plaza Hotel 5*, Amman หรือ เทียบเท่า
  • Day 6
    อัมมาน - เมืองโบราณเจอราช - ปราสาทอัสลุน - สนามบิน
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      ออกเดินทางสู่ เมืองเจอราช (Jerash) ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของกรุงอัมมานห่างออกไปประมาณ 55 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง
      เมืองโบราณเจอราช ได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองพันเสาหรือ ปอมเปอีแห่งตะวันออก อดีตเคยเป็นเมืองที่สำคัญ 1 ใน 10 หัว เมืองเอกของอาณาจักรโรมัน สันนิษฐานคาดว่าถูกสร้างขึ้นราว 100-200 ปีก่อนคริสตกาล นครแห่งนี้เคยเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำลาย และถูกทรายฝังกลบจนสูญหายไปนับเป็นพันปี ส่วนสถานที่ที่ไม่ควรพลาดชมหากมาเยือนนครเจอราช คือ การเดินเข้าสู่ ถนนคาร์โด หรือ ถนนโคลอนเนด ถนนสายหลักที่เก่าแก่ของเมืองแห่งนี้ ซึ่งบนถนนยังคงถูกจารึกไว้ด้วยร่องรอยของรถม้า นอกจากนี้ยังมี น้ำพุใจกลางเมือง (Nymphaeum) ที่สร้างในปีค.ศ.191 เพื่ออุทิศแด่เทพธิดาแห่งขุนเขาซึ่งเป็นที่นับถือของชาวเมืองแห่งนี้ นำชมซากปรักหักพังที่ยังคงมีกลิ่นอายของความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันที่ยังคงมีความสมบูรณ์แบบมากที่สุด อาทิเช่น สนามแข่งม้าฮิปโปโดรม (Hippodrome) ซุ้มประตูกษัตริย์ฮาเดรียน (Hadrian's Arch) โรงละครโรมัน (Roman Theatre) ที่จุผู้ชมได้ถึง 3,000 คน เชิญท่านมาทดสอบกับความมหัศจรรย์ของการคิดค้นการวางจุดให้เกิดเสียงเอ็คโค เพียงพูดเบาๆ ตรงจุดกึ่งกลางของโรงละครแล้วจะได้ยินทั่วโรงละคร ชมความมหัศจรรย์ของก้อนหิน 3 ก้อนที่เรียงกันไม่ล้มหลังจากถูกแผ่นดินไหว และสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวตลอดเวลาของก้อนหินบนนิ้วมือที่ วิหารเทพีอาร์ทีมีส (Temple of Artemis) แล้วเดินชม โอวัลพลาซ่า (Oval Plaza) สถานที่พบปะของชาวเมืองเจอราชที่ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบโรมันล้อมรอบด้วย เสาสไตล์คอรินเทียนกว่า 160 ต้น ปัจจุบันบรรดาเสาเหล่านี้ได้กลายเป็นจุดถ่ายรูปที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย เดินทางต่อสู่ ปราสาทอัจลุน (Ajlun Castle) ซึ่งตั้งอยู่ใน เมืองอัจลุนห่างจากเมืองเจอราชไปเพียง 25 กิโลเมตร ปราสาทหลังนี้ตั้งอยู่บนยอดเนินเขา ณ ความสูง 1,250 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ถูกสร้างขึ้นโดยนักรบมุสลิมจากราชวงศ์อัยยูบิดแห่งอียิปต์ (Ayyubid Dynasty) ในปี ค.ศ.1185 เพื่อใช้เป็นป้อมทหารสำหรับปกป้องดินแดนจากการรุกรานของข้าศึกในช่วงสงครามครูเสด ต่อมาในปี ค.ศ.1215 ปราสาทถูกต่อเติมขยายใหญ่ขึ้นจากเดิม สร้างหอคอยสังเกตการณ์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และประตูทางเข้าโดยผู้ปกครองจากราชวงศ์มัมลุค และในที่สุดถูกทำลายลงโดยพวกมองโกลในปีค.ศ.1260 หลังจากนั้นไม่นานเมื่อพวกมัมลุคสามารถกลับมาเอาชนะพวกมองโกล จึงได้ทำการซ่อมแซมปรับปรุงใหม่อีกครั้ง ความเสียหายจริงๆของปราสาทหลังนี้เกิดจากแผ่นดินไหวสองครั้งในปี ค.ศ.1837 และ ค.ศ.1927 จึงทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลาจากบริเวณที่ตั้งปราสาทนั้น ท่านสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ทัศนียภาพของแผ่นดินได้กว้างไกลสุดตาทั้งประเทศจอร์แดนและซีเรีย 
      19.30 น. รับประทานอาหารเย็น มื้ออำลาประเทศจอร์แดน
      22.30 น. เดินทางสู่สนามบินนานาชาติ ควีน อาเลีย เตรียมตัวเช็คอินสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ เดินทางกลับสู่ประเทศไทย
  • Day 7
    อัมมาน - กรุงเทพฯ
    • 02.15 น. เหินฟ้าสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบิน ROYAL JORDANIAN เที่ยวบินที่ RJ182  (ใช้เวลาบิน 8 ชั่วโมง 10 นาที) (บริการอาหารบนเครื่องบิน)
      14.25 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ
Top